เมลาโทนินคืออะไร ?
เมลาโทนิน (melatonin) เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งของร่างกาย ถูกสร้างจากต่อมไพเนียลมีหน้าที่ในการช่วยควบคุมวงจรการนอนหลับ-การตื่นของมนุษย์เรา ปกติแล้วการหลั่งของเมลาโทนินจะขึ้นกับช่วงเวลาของวัน ระดับของเมลาโทนินจะเริ่มสูงขึ้นในตอนเย็นหลังพระอาทิตย์ตกและจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงกลางคืน โดยสูงสุดช่วง 02.00-04.00 น. จากนั้นจะมีปริมาณลดลงเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในช่วงรุ่งเช้า และต่ำที่สุดในช่วง 07.00-08.00 น. ระดับของเมลาโทนินที่ต่ำลงนี้ทำให้เราตื่นนอน จึงกล่าวได้ว่าเมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้เกิดการนอนหลับ
การหลั่งเมลาโทนิน
สามารถแบ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการหลั่งเมลาโทนินได้ออกเป็น 2 ด้านหลักๆ คือ
1. ปัจจัยภายในร่างกาย ได้แก่ สมองส่วนไฮโปทาลามัสซึ่งเป็นที่อยู่ของนาฬิกาชีวภาพมีหน้าที่ควบคุมจังหวะในรอบ 24 ชั่วโมงของมนุษย์เรา
2. ปัจจัยภายนอกร่างกาย หรือสิ่งแวดล้อม ได้แก่ แสงสว่าง โดยเฉพาะแสงแดดดังที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น มื้ออาหารการกิน วิถีการดำเนินชีวิต และการออกกำลังกาย
ดังนั้นเราสามารถช่วยให้การหลั่งของเมลาโทนินมีความสม่ำเสมอและเป็นไปตามธรรมชาติได้โดยการเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา ซึ่งจะช่วยให้นาฬิกาชีวภาพทำงานสม่ำเสมอเป็นจังหวะ การรับแสงแดดยามเช้าจะช่วยให้เราสดชื่นตอนกลางวัน ส่วนการหลีกเลี่ยงแสงสว่างในตอนเย็นหรือกลางคืน เช่น การดูโทรทัศน์ การเล่นโทรศัพท์สมาร์ทโฟน การเปิดไฟเวลานอน นั้นจะช่วยให้เราหลับได้ดีขึ้น
เมลาโทนินกับปัญหาการนอนหลับ
การทำงานที่ผิดปกติไปของระบบเมลาโทนิน สามารถทำให้เกิดปัญหาการนอนหลับตามมาได้ ที่พบได้บ่อย เช่น
1. ปัญหานอนไม่หลับ (insomnia) เมื่อคนเราอายุมากขึ้น การสร้างของเมลาโทนินจะลดลง ทำให้ปัญหานอนไม่หลับมักพบมากในผู้สูงอายุ ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้สูงอายุ (อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป) มีปัญหานอนไม่หลับ โดยมีอาการที่สำคัญ คือ หลับได้ไม่ลึก ตื่นบ่อยกลางดึก และตื่นเช้ากว่าปกติ
2. ภาวะนอนไม่เป็นเวลา (circadian rhythm sleep-wake disorders) มีสาเหตุจากการทำงานของนาฬิกาชีวภาพทำงานไม่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก ชนิดของภาวะนอนไม่เป็นเวลาที่พบได้บ่อย ได้แก่
2.1 Delayed sleep phase (delayed sleep-wake phase sleep disorder) พบในวัยรุ่นค่อนข้างบ่อย โดยเด็กในกลุ่มนี้จะเข้านอนดึกและตื่นสาย ซึ่งถ้ามีความจำเป็นต้องตื่นตอนเช้า อาจมีผลทำให้ง่วงนอนในขณะเรียนหรือทำงานในตอนกลางวัน
2.2 การเดินทางข้ามเขตเวลาโลก (jet lag) ทำให้นาฬิกาชีวภาพทำงานไม่สัมพันธ์กับเขตเวลาใหม่ที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้อาจเกิดปัญหานอนไม่หลับในช่วงกลางคืนหรือง่วงนอนในช่วงกลางวันได้
2.3 การทำงานเป็นผลัด (shift work type)
2.4 ผู้บกพร่องทางการมองเห็นหรือตาบอดสนิท (circadian rhythm sleep disorders in the blind or non-24-hour sleep-wake type)
ดังนั้นเราสามารถช่วยให้การหลั่งของเมลาโทนินมีความสม่ำเสมอและเป็นไปตามธรรมชาติได้โดยการเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา ซึ่งจะช่วยให้นาฬิกาชีวภาพทำงานสม่ำเสมอเป็นจังหวะ การรับแสงแดดยามเช้าจะช่วยให้เราสดชื่นตอนกลางวัน ส่วนการหลีกเลี่ยงแสงสว่างในตอนเย็นหรือกลางคืน เช่น การดูโทรทัศน์ การเล่นโทรศัพท์สมาร์ทโฟน การเปิดไฟเวลานอน นั้นจะช่วยให้เราหลับได้ดีขึ้น
เมลาโทนินสามารถใช้รักษาปัญหานอนไม่หลับได้จริงหรือไม่ ?
รูปแบบของเมลาโทนินที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ คือ 1) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งจะออกฤทธิ์เร็ว (ภายใน 20-30 นาที) แต่จะมีระยะเวลาการออกฤทธิ์สั้น (ประมาณ 1.5-2 ชั่วโมง) 2) รูปแบบยาแผนปัจจุบันซึ่งอยู่ในลักษณะเป็นยาเม็ดที่ออกฤทธิ์นาน (prolonged release) โดยมีระยะเวลาการออกฤทธิ์ประมาณ 6-8 ชั่วโมง
มีการศึกษาพบว่ายาเมลาโทนินชนิดออกฤทธิ์นานสามารถ ใช้รักษาโรคนอนไม่หลับชนิดปฐมภูมิ (primary insomnia) ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไปได้ ข้อดีของยาตัวนี้คือ ผู้ป่วยจะไม่มีอาการเมาค้างในวันรุ่งขึ้นและไม่เกิดภาวะติดยา อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นของยาตัวนี้ยังมีความแตกต่างกันในแต่ละการศึกษา และผลในการรักษาภาวะนอนไม่เป็นเวลา (circadian rhythm sleep-wake disorders) นั้นยังมีค่อนข้างจำกัด จึงต้องมีการศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมต่อไปในอนาคต
เนื่องจากเมลาโทนินไม่ได้ช่วยรักษาโรคนอนไม่หลับได้ทุกชนิด และมันอาจจะเป็นอันตรายหากผู้ป่วยนอนไม่หลับจากสาเหตุอื่นๆ แต่ไม่ได้รับการแก้ไข ดังนั้นผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อนที่จะใช้เมลาโทนินในการรักษา
© www.sleepmindclinic.com. All Rights Reserved.
Powered by KPK Computer